เมนู

อ. 7 เดือนก็ยังนานนัก สหาย เราไม่สามารถจะรอได้ถึง 7 เดือน
ภ. จนรออยู่สัก 6 เดือนเถิด สหาย . . . จงรออยู่สัก 5 เดือน 4
เดือน 3 เดือน 2 เดือน 1 เดือน กึ่งเดือน ต่อล่วงกึ่งเดือนแล้ว เราทั้ง
สองจักออกบวชด้วยกัน.
อ. กึ่งเดือนก็ยังนานนัก สหาย เราไม่สามารถจะรอได้ถึงกึ่งเดือน.
ภ. จงรออยู่สัก 7 วันเถิด สหาย พอเราได้มอบหมายราชสมบัติแก่
พวกลูก ๆ และพี่น้อง.
อ. 7 วันไม่นานนักดอก สหาย เราจักรอ.

เรื่องคน 7 คน


[341] ครั้งนั้น พระเจ้าภัททิยศากยะ อนุรุทธะ อานนท์ ภัคคุ
กิมพิละและเทวทัต เป็น 7 ทั้งอุบาลีซึ่งเป็นภูษามาลา เสด็จออกโดยเสนา 4
เหล่า เหมือนเสด็จประพาสราชอุทยาน โดยเสนา 4 เหล่า ไปกาลก่อน ฉะนั้น
กษัตริย์ทั้ง 6 องค์เสด็จไปไกลแล้วสั่งเสนาให้กลับ แล้วย่างเข้าพรมแดน ทรง
เปลื้องเครื่องประดับ เอาภูษาห่อแล้ว ได้กล่าวกะอุบาลีผู้เป็นภูษามาลาว่า เชิญ
พนาย อุบาลี กลับเถิด ทรัพย์เท่านี้พอเลี้ยงชีพท่านได้ละ.
[342] ครั้งนั้น อุบาลีผู้เป็นภูษามาลาเมื่อจะกลับ คิดว่าเจ้าศากยะ
ทั้งหลายเหี้ยมโหดนัก จะพึงให้ฆ่าเราเสียด้วยเข้าพระทัยว่า อุบาลีนี้ให้พระ
กุมารทั้งหลายออกบวช ก็ศากยกุมารเหล่านี้ยังทรงผนวชได้ ไฉนเราจักบวช
ไม่ได้เล่า เขาแก้ห่อเครื่องประดับเอาเครื่องประดับนั้นแขวนไว้บนต้นไม้ แล้ว
พูดว่า ของนี้เราให้แล้วแล ผู้ใดเห็น ผู้นั้นจงนำไปเถิด แล้วเข้าไปเฝ้าศากย
กุมารเหล่านั้น ศากยกุมารเหล่านั้น ทอดพระเนตรเห็นอุบาลีผู้เป็นภูษามาลา
กำลังเดินมาแต่ไกล ครั้นแล้วจึงรับสั่งถามว่า พนาย อุบาลีกลับมาทำไม.

อ. พระพุทธเจ้าข้า เมื่อข้าพระพุทธเจ้าจะกลับมา ณ ที่นี้ คิดว่าเจ้า-
ศากยะทั้งหลายเหี้ยมโหดนัก จะพึงให้ฆ่าเราเสียด้วยเข้าพระทัยว่า อุบาลีนี้ให้
พระกุมารทั้งหลายออกบวช ก็ศากยกุมารเหล่านี้ยังทรงผนวชได้ ไฉน เราจัก
บวชไม่ได้เล่า ข้าพระพุทธเจ้านั้นแก่ห่อเครื่องประดับแล้ว เอาเครื่องประดับ
นั้นแขวนไว้บนต้นไม้ แล้วพูดว่า ของนี้เราให้แล้วแล ผู้ใดเห็น ผู้นั้นจงนำ
ไปเถิด แล้วจึงกลับมาจากที่นั้น พระพุทธเจ้าข้า.
ศ. พนาย อุบาลี ท่านได้ทำถูกต้องแล้ว เพราะท่านกลับไป เจ้า-
ศากยะทั้งหลายเหี้ยมโหดนัก จะพึงให้ฆ่าท่านเสียด้วยเข้าพระทัยว่า อุบาลีนี้ให้
พระกุมารทั้งหลายออกบวช
[343] ลำดับนั้น ศากยกุมารเหล่านั้น พระอุบาลีผู้เป็นภูษามาลา
เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นแล้วถวายบังคมประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วน
ข้างหนึ่ง แล้วกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า พวกหม่อมฉันเป็นเจ้าศากยะยังมี
มานะ อุบาลีผู้เป็นภูษามาลานี้เป็นผู้รับใช้ของหม่อมฉันมานาน ขอพระผู้มี
พระภาคเจ้าจงให้อุบาลีผู้เป็นภูษามาลานี้บวชก่อนเถิด พวกหม่อมฉันจักทำการ
อภิวาท การลุกรับ อัญชลีกรรม สามีจิกรรม แก่อุบาลีผู้เป็นภูษามาลานี้
เมื่อเป็นอย่างนี้ ความถือตัวว่าเป็นศากยะของพวกหม่อมฉันผู้เป็นศากยะจัก
เสื่อมคลายลง.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดให้อุบาลีผู้เป็นภูษามาลาบวชก่อน
ให้ศากยกุมารเหล่านั้นผนวชต่อภายหลัง.
[ 344 ] ครั้งต่อมา ในระหว่างพรรษานั้นเอง ท่านพระภัททิยะได้
ทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล พระเทวทัตได้สำเร็จฤทธิ์ชั้นปุถุชน.

เรื่องพระภัททิยะ


[345] ครั้งนั้น ท่านพระภัททิยะ ไปสู่ป่าก็ดี ไปสู่โคนไม้ก็ดี ไป
สู่เรือนว่างก็ดี ย่อมเปล่งอุทานเนือง ๆ ว่า สุขหนอ สุขหนอ ครั้งนั้น ภิกษุ
มากรูปเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายบังคมนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
แล้วกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ท่านพระภัททิยะไปสู่ป่าก็ดี ไปสู่โคนไม้ก็ดี
ไปสู่เรือนว่างก็ดี ได้เปล่งอุทานเนือง ๆ ว่า สุขหนอ สุขหนอ พระพุทธเจ้า
ข้า ท่านพระภัททิยะ ฝืนใจประพฤติพรหมจรรย์โดยไม่ต้องสงสัย หรือมิ
ฉะนั้นก็ระลึกถึงสุขในราชสมบัติครั้งก่อนนั้นเอง ไปสู่ป่าก็ดี ไปสู่โคนไม้ก็ดี
ไปสู่เรือนว่างก็ดี จึงเปล่งอุทานเนือง ๆ ว่า สุขหนอ สุขหนอ.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุรูปหนึ่งว่า ดูก่อนภิกษุ
เธอจงมา จงเรียกภัททิยะภิกษุมาตามคำของเราว่า ท่านภัททิยะ พระศาสดารับ
สั่งหาท่าน ภิกษุนั้นรับสนองพระพุทธพจน์แล้ว เข้าไปหาท่านพระภัททิยะ
ครั้นแล้วได้กล่าวว่า ท่านภัททิยะ พระศาสดารับสั่งหาท่าน.
[346] ท่านพระภัทภิยะรับคำของภิกษุนั้น แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มี
พระภาคเจ้า ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เมื่อท่านพระภัททิยะนั่ง
เรียบร้อยแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ดูก่อนภัททิยะ ข่าวว่า เธอไป
สู่ป่าก็ดี ไปสู่โคนไม้ก็ดี ไปสู่เรือนว่างก็ดี ได้เปล่งอุทานเนือง ๆ ว่า สุขหนอ
สุขหนอ จริงหรือ
ภ. จริงอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า
พ. ดูก่อนภัททิยะ ก็เธอพิจารณาเห็นอำนาจประโยชน์อะไร ไปสู่ป่า
ก็ดี ไปสู่โคนไม้ก็ดี ไปสู่เรือนว่างก็ดี จึงได้เปล่งอุทานเนือง ๆ ว่า สุขหนอ
สุขหนอ ดังนี้